ประวัติเพลงหน้าพาทย์ เพลงตระนารายณ์
ตามความหมายในหนังสือ สารานุกรมศัพท์ดนตรีไทย
ภาคคีตะ-ดุริยางค์ ฉบับราชบัณฑิตยสถาน
(2540 : 114-116) กล่าวว่า เพลง
ประเภทหนึ่งที่ใช้บรรเลงในการแสดงกิริยาของมนุษย์ สัตว์ วัตถุ หรือธรรมชาติ
ทั้งกิริยาที่มีตัวตน กิริยาสมมติ กิริยาที่เป็นปัจจุบัน และกิริยาที่เป็นอดีต
เช่น บรรเลงในการแสดงกิริยา ยืน เดิน กิน นอน ของมนุษย์และสัตว์ การเปลี่ยนแปลง
เกิดขึ้นหรือสูญไปของวัตถุและธรรมชาติ
เพลง
หน้าพาทย์มีองค์ประกอบที่สำคัญอยู่ที่เครื่องดนตรีที่ใช้บรรเลงคือ ตะโพน
และกลองทัด กล่าวคือ เพลงใดที่มีตะโพนและกลองทัดบรรเลงควบคู่กัน
ถือว่าเป็นเพลงหน้าพาทย์ทั้งสิ้น
เพลงหน้าพาทย์แบ่งระดับความสำคัญออกได้เป็น 3 ระดับคือ
1. เพลงหน้าพาทย์ธรรมดา
ใช้กับตัวละครชั้นสามัญทั่วไปที่ไม่มีความสำคัญมากนัก เช่น เพลงเสมอ
2. เพลงหน้าพาทย์ชั้นกลาง ใช้กับตัวละครที่มีความสำคัญมากขึ้น
เช่น เพลงเสมอข้ามสมุทร เพลงเสมอเถร เพลงเสมอมาร
3. เพลงหน้าพาทย์ชั้นสูง
ใช้กับตัวละครที่สูงศักดิ์ เช่น เพลงบาทสกุณี (เสมอตีนนก) เพลงดำเนินพราหมณ์
การเรียกเพลงประเภทนี้ว่า "หน้าพาทย์" น่าจะมาจากศิลปินฝ่ายโขนละครเป็นผู้เรียกก่อน เพราะการร่ายรำเข้ากับเพลงประเภทนี้ ผู้รำจะต้องยึดถือจังหวะทำนองเพลง หน้าทับ และไม้กลองของเพลงเป็นสิ่งสำคัญ ต้องรำให้มีทีท่าเข้ากันสนิทกับทำนองและจังหวะ ต้องมีความสั้นยาวพอดีกับเพลง ต้องถือว่าเพลงที่บรรเลงเป็นหลัก เป็นหัวหน้า เป็นสิ่งที่จะต้องรำตาม เมื่อผู้รำต้องการจะหยุดหรือเปลี่ยนเพลง ก็ต้องให้พอเหมาะกับประโยค หรือหน้าทับ หรือไม้กลองของเพลง จะรำป้องหน้าหรือเปลี่ยนไปตามความพอใจไม่ได้ จึงเรียกเพลงประเภทนี้ว่า "เพลงหน้าพาทย์" และเรียกการรำนี้ว่า "รำหน้าพาทย์"
พระนารายณ์ ในกาลเมื่อดึกดำบรรพ์ยุคแรกๆ นั้น ยังมิได้ชื่อว่า พระนารายณ์ แต่มีชื่อเรียกกันทั่วไปเพียงชื่อเดียวว่า วิษณุ เท่านั้น อีกทั้งไม่ได้เป็นเทวดาชั้นสูง หากยังเป็นเพียงเทวดาบริวารชั้นล่าง
เจ้าของชื่อ พระนารายณ์ ที่แท้มาแต่แรกเริ่มคือ พระพรหม ใช้เรียกพระพรหมมาแต่ดั้งเดิมดึกดำบรรพ์ เพราะพระพรหมเกิดขึ้นในน้ำ ดังคำว่า นารายณ์ มาจาก นารา
(น้ำ) กับ อยน (การเคลื่อนไหว) จึงรวมความว่าหมายถึง ผู้เคลื่อนไหวไปในน้ำ เนื่องมาจากพระพรหมมีกิจกรรมทางน้ำเสมอแต่แรกมา ยกย่องกันสืบมาว่าพระนารายณ์เป็นเทพเจ้าที่มีน้ำพระหทัยดี มีเมตากรุณา เป็นเทพ จตุรภุช มี่ 4 กร พระหัตถ์ขวาคู่หนึ่งถือสังข์และจักร พระหัตถ์ซ้ายอีกคู่หนึ่งถือดอกบัวและคทา ดังร่ายดั้นสรรเสริญเทวดาบทแรกของโองการแช่งน้ำตอนที่กล่าวว่า
โอมสิทธิสรวงศรีแก้ว
แผ้วมฤตยู
เอางูเป็นแท่น
แกว่นกลืนฟ้ากลืนดิน
บินเอาครุฑมาขี่
สี่มือถือสังข์จักรคทาธรณี
ภีรุอวตาร
อสุรแลงลาญหัก
ททัคนีจรณายฯ
เครื่องประดับ พระนารายณ์มีผ้าทิพย์สีเหลือง ประดับด้วยทองชมพูนุช และมีดวงแก้ววิเศษประดับสร้อยพระศอ
เครื่องหมายที่เป็นเอกลักษณ์ของพระนารายณ์คือ ขนหน้าอกขมวดเป็นรูปยันต์ชนิดหนึ่งเรียก ศรีวัตสะ
พาหนะประจำองค์พระนารายณ์คือ พญาครุฑ จึงมีภาพพระนารายณ์ทรงครุฑหรือ นารายณ์ทรงสุบรรณแพร่หลายอยู่ในศิลปกรรมไทย ที่ประทับประจำพระนารายณ์คือ สวรรค์ชั้นไวกูณฐ์ ซึ่งอยู่ทิศเหนือของเกษียรสาคร หรือทะเลน้ำนม
สีผิวของพระนารายณ์จะไม่เป็นสีใดสีหนึ่งคงที่ แต่เปลี่ยนไปตามยุคตามสมัยของโลก กล่าวว่า
ราชาแห่งนาคทั้งมวลในตำนานของฮินดู อนันตเศษ (อะ-นัน-ตะ-เส-สะ) หรือ อนันตนาคราช มีขนาดตัว เป็นอนันต์สมชื่อ เพราะเป็นผู้นอนอยู่ในเกษียรสมุทรและให้พระนารายณ์นอนบนหลัง บางตำนานเล่าว่าดาวนพเคราะห์นั้นก็ตั้งอยู่บนพังพานของอนันตนาคราช ส่วนหัวซึ่งมีตั้งแต่ห้าหัวถึงหนึ่งพันนั้นไม่พ่นพิษเหมือนนาคอื่นๆแต่เป็น เปลวไฟและอนันตนาคราชก็จะร้องเพลงสรรเสริญบารมีของพระนารายณ์เป็นนิจในตำนานเล่าว่าตอนที่เหล่านาคเล่นโกง ที่แม่ไปพนันกับนางวินตาซึ่งเป็นแม่ของพญาครุฑ (ทั้งคู่พนันสีม้าของพระอาทิตย์ เหล่านาคนั้นพ่นพิษใส่จนหางของม้าพระอาทิตย์เป็นสีดำ บ้างก็ว่าเหล่านาคตัวเล็กๆได้เลื้อยเข้าไปแทรกในขนสีขาวจนดูสีดำเป็นหย่อม) อนันตเศษนั้นรังเกียจบรรดาน้องๆเลยหนีไปจำศีลอยู่ตัวเดียวเวลาผ่านไปพระพรหม ก็มาเจอเข้า เมื่อทราบว่าอนันตเศษไม่ชอบใจที่น้องโกงพนันเลยให้ไปนอนในเกษียรสมุทรเป็น เตียงให้พระนารายณ์ คำสาปที่ทำให้ครุฑจับนาคกินได้จึงไม่รวมถึงอนันตเศษด้วย ตำนานที่ดุเดือดของอนัตเศษที่สุดนั้นกล่าวว่าครั้งหนึ่งอนันตเศษเคยโผล่หัว ขึ้นไปบนสวรรค์ (ไม่ใช่มุข เพราะตัวยาวจนไม่ต้องขึ้นไปทั้งตัว) และโอ้อวดกับเหล่าเทวดาว่า ในสามโลกนี้มีแต่ตรีมูรติเท่านั้นที่มีอำนาจเหนือตน หากใครไม่เชื่อแล้วก็จงมาประลองกำลังกันเถิด เหล่าเทวดากลัวหัวหด มีแต่พระพายที่กล้าพอ คิดว่าอย่างไรนาคตัวนี้ก็เป็นแค่ดิรัจฉานการจำมาท้าตีท้าต่อยกับเทวดาจึงนับ ว่าโอหังนัก พระพายรับคำท้า ว่าแล้วพญาอนันตนาคราชก็เอาตัวเองพันรอบภูเขาลูกหนึ่งไว้ บอกว่าให้พระพายลองทำลายภูเขานี้ดูพระพายนั้นใช้กำลังสร้างพายุรุนแรงหมายจะ พัดทำลายภูเขานั้นให้ยับเยิน แต่อนันตเศษก็ขยายตัวเองให้ใหญ่ขึ้นแล้วแผ่พังพานป้องไว้ได้ทุกครั้ง สุดท้ายพระพายจึงทุ่มกำลังทั้งหมดเข้าโจมตีโดยดึงเอาลมในตัวสัตว์โลกทั้งมวล มาใช้ด้วยแต่ก็ถูกอนันตเศษกลืนเข้าไปทั้งตัว ทีนี้เมื่อไม่มีพระพายแล้ว สัตว์โลกทั้งหลายก็หายใจไม่ออก ร้อนถึงพระนารายณ์ต้องมาบอกเตียงหลังโปรดให้คายพระพายออกมา อนัตนาคราชทำตาม ปรากฏว่าตอนที่อนันตนาคราชคายพระพายมานั้นก็บังเกิดเป็นลมรุนแรงพัดไปโดน ภูเขาที่พันไว้จนราบเป็นหน้ากลอง ทั้งพระพายและอนันตนาคราชต่างก็นับถือ ในกำลังของกันและกัน เลยตกลงว่าการประลองครั้งนี้เป็นเสมอ บางที่ที่ค้นเจอ ยกบทนาคที่พันเขาพระสุเมรุไว้ตอนกวนเกษียรสมุทรให้อนันตนาคราชด้วย แต่จริงๆแล้วนาคที่รับบทนี้ก็คือพญาวาสุกรี
หลังจากที่พระนารายณ์ปราบผู้ที่มารบกวนเทวดาและมนุษย์ได้แล้ว อนันตนาคราชสามารถพ่นพิษเป็นไฟบัลลัยกัลป์ล้างโลกได้เมื่อถึงเวลาสิ้นอายุ ของโลก เมื่อพระนารายณ์อวตารมาเป็นพระรามเพื่อปราบทศกัณฐ์ อนันตนาคราชก็มาเกิดเป็นพระลักษมณ์ช่วยพระรามทำสงครามกับทศกัณฐ์ด้วย
ตระบรรทมสินธุ์ ใช้สำหรับพระนารายณ์บรรทมองค์เดียวเท่านั้น
เรียกเพลงนี้อย่างเต็มว่า “ตระนารายณ์บรรทมสินธุ์”
เป็นการแสดงกิริยาการบรรทมของพระนารายณ์ อยู่บนหลังพญานาคราชกลางเกษียรสมุทร เช่น การแสดงโขนเรื่องรามเกียรติ์ ตอนพระนารายณ์ทรงปราบหิรันตยักษ์เสร็จก็เสด็จกลับเข้าที่บรรทม
ณ เกษียรสมุทร
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น